ads 728x90

เสื้อผ้ารับลมหนาวสำหรับคุณหนู

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


                        สวยหล่อต้อนรับหนาว ด้วยคอลเลกชั่น Autumn/Winter 2012-2013 มาเตรียมความพร้อมรับลมหนาว ด้วยแฟชั่นเสื้อผ้า หลากหลายแบรนด์ที่ขนมาเอาใจคุณหนู ทั้งความน่ารัก สดใส บวกกับแฟชั่น Intrend ตามกระแสวัยทีนให้สวยหล่อกันก่อนใคร

               

                            เริ่มแบรนด์แรกด้วย GUCCI คอลเลกชั่นล่าสุดสำหรับเด็ก มาในดีไซน์ชวนฝัน เสื้อผ้าแนวยุค 70’s และลาย Gucci Web เฉดสีใหม่ หลากสไตล์เหมาะสำหรับทุกๆ รสนิยมและทุกโอกาส

                           สำหรับแบรนด์ Armani คอลเลกชั่นหน้าหนาว ซึ่งแตกไลน์ออกมาหลากหลายแบบทั้ง Armani Baby โดยเน้นความอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความหรูหรา สไตล์ของ เป็นเสื้อผ้าที่สามารถใช้งานได้หลากหลายแต่แปลกใหม่ เรียกว่าผสมผสานความหวานและความเท่ ได้อย่างลงตัวทีเดียว มีให้เลือกพร้อมใส่ได้ทุกโอกาส urberry Kids คอลเลกชั่น Autumn/Winter 2012-2013 ได้เนรมิตความน่ารักสดใสของเด็กทั้งผู้ชายและผู้หญิง ด้วยคอนเซปต์ Mini-Me ซีซั่นนี้ผสานความโดดเด่นขององค์ประกอบระหว่างซิตี้กับคันทรี่ ที่มอบความสนุกสนานแบบสาวคันทรี่ เสื้อผ้าเด็กสุดเก๋ คัตติ้งเนี้ยบ สวมใส่สบาย.


                             Kenzo Kids ได้นำความสดใสและสีสันของเสียงเพลงจากนักเดินทางโบฮีเมียน และปลุกเร้าจิตวิญญาณของชนเผ่าพเนจร คอลเลกชั่นนี้ได้แสดงถึงความสนุกสนานและมีสีสันในลวดลายของโลกละครสัตว์ ทำให้สะดุดตา ด้วยเสื้อกันหนาวลูกฟูกและผ้าทอ รวมทั้งการผสมผสานของเสื้อเชิ้ตและคาร์ดิแกน เข้าไว้ด้วยกัน




                            ปิดท้ายด้วย Paul Smith Junior ที่คอลเลกชั่นนี้มีความน่าดึงดูด เหมาะสำหรับเด็กผู้ชายและผู้หญิง โดยได้แรงบันดาลใจมาจากรันเวย์ของ Paul Smith ที่มีการดีไซน์ใหม่ด้วยดีเทลที่สนุกสนานเหมาะกับเด็กน้อยวัยใส ลวดลายกราฟฟิกที่แปลกใหม่ และเสื้อกันหนาวเน้นไปที่ความอบอุ่นและสวมใส่สบาย

 ขอขอบคุณ หนังสือพิมพิ์ ไทยรัฐ

ไม่ประมาท...พลั้งเผลอ ลดภัยเสี่ยงเด็กเล็กก่อนสาย!! (เดลินิวส์)

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

          ลูกคือ “โซ่ทองคล้องใจ” ของผู้เป็นพ่อแม่ เป็นสายใยรักที่เกิดขึ้นมา เพื่อเติมเต็มคำว่า “ครอบครัว” ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น...นับตั้งแต่วันที่ลูกน้อยลืมตาดูโลก ...ภารกิจหลักคงตกอยู่กับผู้ที่เป็นพ่อและแม่ บางครอบครัวโชคดีมีปู่ ย่า ตา ยาย ช่วยเลี้ยง บางครอบครัวต้องเลี้ยงดูกันเอง และที่ร้ายไปกว่านั้น พ่อ แม่ บางคนต้องรับหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน
          “ลูกใคร ใครก็รัก” แต่บางครั้งบางคราว ผสมกับความเป็นมือใหม่ของบางครอบครัว ทำให้เกิดอันตรายขึ้นกับลูกรักได้ เด็กหลายคนโชคยังดีที่ช่วยเหลือไว้ได้ทัน ในขณะที่เด็กอีกจำนวนไม่น้อย ต้องจบชีวิตลงเพราะความพลั้งเผลอ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในเวลาเพียงไม่กี่เสี้ยววินาที!!
           ความปลอดภัย เป็นเรื่องที่ทุกบ้านที่มีเด็กอ่อน พึงให้ความสำคัญ ลักขณา สุมงคล หัวหน้าแผนกเนอร์สเซอรี่ โรงพยาบาล บี เอ็น เอช ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า อันตรายที่เกิดขึ้นกับทารก สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา และบางครั้ง เป็นสิ่งที่เราไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น พ่อ แม่ ผู้ที่ทำหน้าที่เลี้ยงทารก จึงต้องมีความรู้ในด้านต่างๆ เกี่ยวกับอันตรายใกล้ตัวที่คาดไม่ถึง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดสำหรับลูกน้อย
          ทารกในช่วงแรกเกิด สิ่งที่ควรระวัง คือ เรื่องของทางเดินหายใจ เพราะการเตรียมที่นอน ที่ไม่ถูกต้อง มีความนิ่มมากจนเกินไป รวมทั้งการจัดท่านอนให้ทารก ที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้หน้าของทารกกดลงกับบริเวณที่นอนที่เป็นฟูกนิ่มๆ ได้ ซึ่งจะทำให้เด็กหายใจไม่ออก ในต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
          ท่านอนของเด็กควรจะเป็นท่านอนหงาย หรือท่านอนตะแคง ในส่วนที่คุณพ่อ คุณแม่ ท่านใดต้องการให้ลูกหัวสวย สามารถจัดนอนคว่ำได้แต่จะต้องเป็นที่นอนที่แข็ง ลักษณะคล้ายฟูกของคนไทยในสมัยก่อน โดยให้น้องนอนคว่ำ แต่หันหน้าไปทางใดทางหนึ่ง และหมั่นเดินมาดูลูกบ่อยๆ อย่างน้อยชั่วโมงละครั้ง หรือทางที่ดีที่สุด ควรนอนด้วยกันกับลูก ควรที่จะให้ลูกอยู่ในสายตาตลอดเวลา เพราะต้องคำนึงเสมอว่า เด็กยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย
          ส่วนที่นอนของทารกไม่ควรเป็นเบาะหรือฟูกที่นุ่มจนเกินไป รอบข้างควรมีหมอนข้างหรือหมอนกั้นไว้ เพราะเด็กจะนอนดิ้นและขยับตัวบ่อย ถ้าต้องการให้ลูกนอนเตียงที่ด้านข้างทำเป็นลูกกรง ควรที่จะมีอุปกรณ์ป้องกันด้วยเช่นกัน อย่างเบาะ หรืออะไรที่นิ่มๆ มากั้นตลอดทั้ง 4 ด้าน เพราะเราไม่รู้ว่าเด็กจะกลิ้งไปทางใด ไม่ใช่มาดูอีกที ลูกหัวลอดจากลูกกรงมาอยู่ข้างนอกเสียแล้ว เคยมีกรณีที่เด็กนอนเตียงในลักษณะเช่นนี้ แต่ไม่มีอะไรกั้น คิดว่าลูกกรงที่กั้นก็เพียงพอแล้ว ปรากฏว่า เมื่อกลับมาดูลูกแทบเป็นลม เพราะหัวเด็กไปเกี่ยวกับลูกกรงเตียง แต่ตัวห้อยลงไปอยู่ด้านล่าง ทำให้เด็กขาดอากาศหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง พ่อ แม่ ตกใจจึงรีบพามาโรงพยาบาล ตรงนี้จึงต้องระวังด้วย
          “แต่ถ้าให้เด็กนอนพื้น ควรจะเป็นเบาะและมีหมอนกั้นอาณาเขตเอาไว้รอบๆ ตัวน้อง ไม่ควรให้ลูกนอนในที่สูงเกินคืบหนึ่ง โดยที่ไม่มีอะไรปิดกั้นรอบข้าง ยิ่งถ้าเด็กเริ่มพลิกตัว เริ่มเคลื่อนไหวได้แล้ว ควรให้นอนพื้นจะเป็นการดีที่สุด และเป็นการป้องกันถ้าคุณแม่เผลอหลับไปกับลูก เพราะไม่รู้ว่าน้องจะทำอะไร เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก่อน เมื่อลูกนอนพื้นสิ่งที่สำคัญ คือ เรื่องความสะอาด ต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณที่ลูกนอน เพราะอาจมีมดหรือแมลงมากัดลูกได้”
           ในส่วนของอาหาร สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความสะอาด การเตรียมอาหารให้ลูกทุกครั้งต้องล้างมือก่อน เพราะการล้างมือเป็นการป้องกันการติดเชื้อได้ดีวิธีหนึ่ง และควรจะแยกภาชนะไว้สำหรับลูกโดยเฉพาะ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของเด็กด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองและเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ได้ เนื่องจากเด็ก ยังมีภูมิคุ้มกันต่ำ
          การป้อนอาหารนั้น ควรให้เด็กอยู่ในลักษณะที่หัวสูงกว่าตัวเสมอ ในท่ากึ่งนั่ง เพราะการกลืนกินอาหารของเด็กยังทำได้ไม่ดี มีโอกาสที่จะสำลักได้ง่ายมาก การวางช้อนให้น้องอ้าปากแตะที่ปลายลิ้น จากนั้นค่อยๆ กระดกช้อนขึ้น ส่วนปริมาณในการป้อนแต่ละครั้ง จะต้องป้อนครั้งละน้อยๆ เพียงปลายช้อน เพราะเด็กเล็กการเริ่มทานอาหารใหม่ๆ สำหรับเขา แค่ช้อนโต๊ะเดียวก็เพียงพอแล้วในแต่ละมื้อ
          นอกจากนี้ในส่วนของผลไม้ที่มีเมล็ด หากอยากให้ลูกที่พอรับประทานได้ลองลิ้มรส ก็ควรแกะและป้อนคำเล็กๆ ไม่ควรให้ลูกรับประทานเพียงลำพัง เพราะอาจทำให้เมล็ดหลุดลื่นลงคอ หรือไปติดที่หลอดลมได้
          “เสื้อผ้าเด็กในส่วนของตะเข็บก็มีความสำคัญเช่นกัน เด็กบางคนอาจจะโดนด้ายเย็บตามตะเข็บบาดเอาได้ หรือทำให้ผิวหนังระคายเคือง แม่บางคนไม่รู้จะทำอย่างไร ลูกร้องไห้ไม่หยุด ค้นดูตามเนื้อตัวลูก ถึงได้รู้ว่าด้ายที่เย็บบาดลูก ฉะนั้นเวลาจะซื้อเสื้อผ้า ให้ดูตะเข็บด้านในด้วยว่า เย็บเก็บเรียบร้อยดีหรือไม่”
           การอาบน้ำ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่เด็กอาจจะได้รับอันตรายได้ หลักการที่ทำให้เด็กปลอดภัย คือ จับเด็กให้มั่น เพราะคุณแม่มือใหม่จะรู้สึกตื่นเต้น ไม่กล้าจับลูกแรง กลัวลูกเจ็บ เพราะน้องตัวจะนิ่มไปหมด ยิ่งลูกโดนน้ำแล้วร้องยิ่งกังวล มือสั่นไปกันใหญ่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเด็กเมื่อโดนน้ำ อาบน้ำแรกๆ จะร้องทุกราย
          ฉะนั้น หลักการที่ถูกต้อง คือจับที่บริเวณไหล่ลูก ในลักษณะโอบไหล่ แล้วน้ำหนักของลูกถ่ายมาที่บริเวณข้อมือของแม่ หัวเด็กจะพิงมาที่ข้อศอกของแม่พอดี จับไหล่ลูกให้แน่น เพราะถ้าหลุดเด็กจะหลุดมือทันที
           สำหรับสิ่งแวดล้อม ถ้าเป็นไปได้ควรจัดพื้นที่ไว้สำหรับน้อง และที่มองข้ามไม่ได้เลย คือ เรื่องของสารเคมี บางครั้งแม่อาจหยิบผิดได้ เพราะขวดคล้ายกัน สีเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน อย่างหยิบน้ำยาขัดพื้น คิดว่าเป็นน้ำยาซักผ้าน้อง ตรงนี้อาจทำให้เด็กได้รับอันตรายจากเคมีนั้นได้ จึงควรแยกที่เก็บให้ห่างจากกันและสังเกตได้อย่างชัดเจน
          รวมทั้งควรเก็บสารเคมีต่างๆ ออกจากพื้นที่ของลูก เพื่อกันตัวเองหยิบใช้ผิด อีกทั้งยังป้องกันไม่ให้เด็กคลานไปหยิบเล่น หรือเปิดออกมาดื่มกินได้ จึงควรเก็บไว้ในที่มิดชิดและเด็กเอื้อมไม่ถึงเปิดไม่ได้
          รวมไปถึงยาและเวชภัณฑ์ ควรจัดเก็บให้ห่างจากลูกให้มากที่สุด เพราะเด็กอาจจะหยิบมาใส่ปากเล่น และอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
          นอกจากนั้น สิ่งแวดล้อมที่ลูกอยู่ ถ้ามีปลั๊กไฟ ให้หาอะไรมาปิดรูปลั๊กไฟ เพื่อกันไม่ให้ลูกเอามือไปแหย่เล่น ถ้าเขาอยู่ในวัยที่เริ่มคลานแล้ว ยิ่งต้องระวังให้มากขึ้น
          ตลอดจนภาชนะและสิ่งของที่มีคม อย่างกรรไกร เข็ม ด้าย มีด หรือในส่วนของขอบโต๊ะ ขอบเตียง ซึ่งบางครั้งเราคิดไม่ถึง จึงจำเป็นต้องมีภาชนะห่อหุ้ม เมื่อลูกคลานไปโดนจะได้ไม่เกิดอันตรายได้
          วัยที่อันตราย คือ วัยที่เด็กเริ่มเรียนรู้ เริ่มเคลื่อนไหว หัดคลาน เริ่มเคลื่อนที่จากที่นอนอยู่เฉย ๆ คุณพ่อ คุณแม่ต้องไม่ให้ลูกห่างสายตาเป็นอันขาด ควรอยู่กับเด็กตลอดเวลา เพราะพฤติกรรมอยากรู้อยากเห็นและในช่วงขณะที่ พ่อแม่เผลอ จะเป็นช่วงที่อันตรายกับลูกมาก ซึ่งในแต่ละครอบครัวจะมากน้อยแตกต่างกัน
          ฉะนั้นการป้องกัน จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะไม่ให้เหตุเกิด นั่นคือ อย่าปล่อยให้เด็กอยู่คนเดียว หรือบางช่วงเวลาที่ปล่อยให้เด็กอยู่คนเดียว สิ่งแวดล้อมตรงนั้นจะต้องปลอดภัยสำหรับเขา ไม่ว่าจะเป็นของที่เขาหยิบเข้าปาก หรือจะเป็นเรื่องไฟ รวมทั้งการตกจากที่สูง สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เพราะเด็กเขาไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำจะเกิดอะไรตามมา” ลักขณา แฝงข้อคิดทิ้งท้าย
           มากกว่าความรัก คือ การเอาใจใส่ อย่าให้แก้วตาดวงใจต้องพบหรือเผชิญกับประสบการณ์อันเลวร้าย ทั้งๆ ที่คุณสามารถป้องกันให้กับเขาได้!!.


ขอขอบคุณข้อความดีๆ จาก : เดลินิวส์

การดูแลรักษาเสื้อผ้าเด็กอ่อน

ปกป้องรักษาอาการแพ้เสื้อผ้าที่สวมใส่ โดยการคัดเสื้อผ้าที่เหมาะสม

          เสื้อผ้าเด็ก เด็กทารก มักมีปัญหาโรคภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งโดยมากมาจากผง หรือสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่สะอาด หรือมีสารเคมีแอบแฝงอยู่ โดยสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยคือเสื้อผ้าของลูกนี่เองค่ะ
          เลือกคัดซื้อ เสื้อผ้าเด็ก จากเส้นใยธรรมชาติ โดยอย่างยิ่งผ้าฝ้ายจากเส้นใยธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไม่มีการย้อมด้วยสารเคมี น้ำหอม
หรือสาร formaldehyde resins อีกทั้งเนื้อผ้าเองก็มีความโปร่งสบายสามารถระบายอากาศได้ง่าย แม้ว่าจะมีมูลค่าแพงอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า
          เนื่องด้วยผ้าฝ้ายจากเส้นใยธรรมชาติเหล่านี้มีความทนต่อการซักรีดสูง นอกจากจะใช้งานได้นานแล้วเจ้าตัวเล็กก็จะได้ไม่ต้องทรมานจากอาการระคายเคือง และตุ่มเล็กๆคัน
          ซัก เสื้อผ้าเด็ก ให้ถูกวิถีทาง เนื่องด้วยว่าความสะอาดของ เสื้อผ้าเด็ก เป็นปัจจัยสำคัญ หากคุณพ่อคุณแม่ดูแลไม่ทั่วถึงก็อาจมีผลให้ลูกเกิดอาการแพ้เสื้อผ้าได้
           ฉะนั้นหลังซื้อเสื้อผ้ามาแล้ว ควรซักก่อนให้ลูกใส่ค่ะ เนื่องด้วยแม้จะเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่ก็อาจมีเศษฝุ่นหรือสารตกค้างที่มาจากกรรมวิธีการผลิต รวมถึงการสัมผัสระหว่างการผลิตก่อนหน้านี้ด้วย

          ในการซักเสื้อผ้าเด็ก ไม่ควรใช้ผงซักฟอก เนื่องด้วยระดับความร้ายแรงของสารซักล้างของผู้ใหญ่อาจไม่เหมาะสมกับสภาพผิว ของลูก จึงควรเลือกคัดผลิตภัณฑ์สำหรับลูกโดยเฉพาะ
เมื่อใดก็ตามที่เด็ก ๆ มีอาการคันเนื่องแต่การแพ้เสื้อผ้า เราไม่สามารถสั่งหรือดูแลไม่ให้เขาเกาตุ่มหรือเกาตรงบริเวณที่คันได้ ซึ่งอาจจะเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อที่ผิวหนังในเวลาต่อมา ฉะนั้นป้องกันก่อนที่จะสายย่อมดีกว่าแน่นอ


ขอบคุณข้อความดีๆ จาก http://www.select2baby.com/article

พุดดิ้งแครอต

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

พุดดิ้งแครอต

10-12 Month


 เครื่องปรุง

          แครอตขูดฝอย ½ ถ้วย

          มันฝรั่งต้มบด ¼ ถ้วย

          นมแม่หรือนมแพะ ½ ถ้วย

          ไข่แดง 1 ฟอง

          น้ำสับปะรดหรือน้ำส้มสด ½ ถ้วย

          น้ำเปล่า ¼ ถ้วย

 วิธีทำ

         1.ผสมน้ำสับปะรดหรือน้ำส้มกับน้ำเปล่า

         2.ใส่แครอตขูดฝอยและมันฝรั่งบด ต้มไฟอ่อนจนสุก

         3.ใส่ไข่แดง คนให้สุกข้น

         4.ใส่นมแม่หรือนมแพะลงกวนให้เข้ากันด้วยไฟอ่อน

 แหล่งพลังงาน

         แครอตเป็นพืชที่มีรากสะสมอาหาร ให้คาร์โบไฮเดรตสูง และยังมีเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงผิวหนัง และสายตา ปริมาณแครอต ½ ถ้วย ให้พลังงานเท่ากับข้าวสวย 1/8 ถ้วย ประมาณ 20 แคลอรี น้ำผลไม้ 125 ซีซี หรือ ½ ถ้วย ให้พลังงาน 60 แคลอรี

         Tip : พุดดิ้งแครอตมีลักษณะข้น สามารถใช้ทาขนมปัง หรือทำเป็นแซนด์วิชแบบม้วน แล้วหั่นเป็นวง ให้หนูน้อยหยิบกินและฝึกการใช้มือ ซึ่งขนมปัง 1 แผ่นให้พลังงานเท่ากับข้าวสวย ½ ถ้วย

         เมนูเติมพลังง่าย ๆ ที่น่าจะช่วยเป็นไอเดียให้คุณแม่เอาไปลองใช้ได้หรือจะเอาไปประยุกต์เพิ่มเติมก็ไม่ว่ากันค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://baby.kapook.com


มันฝรั่งไข่แดง

8-10 Month


 เครื่องปรุง

          มันฝรั่งหั่นเต๋าเล็ก 50 กรัม หรือ ½ ถ้วย

          ไข่แดงต้มแล้วนำไปสับเป็นชิ้นเล็ก ½ ฟอง

          น้ำต้มกระดูก 1 ½ ถ้วย

          แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา

          ปลาช่อนนึ่งแกะเนื้อ 2 ช้อนโต๊ะ

 วิธีทำ

         1.ต้มมันฝรั่งกับน้ำต้มกระดูก 1 ถ้วย ให้มันฝรั่งสุกนิ่ม น้ำขลุกขลิก โรยด้วย ไข่แดงต้มสับเป็นชิ้นเล็ก

         2.ละลาย แป้งข้าวโพดกับน้ำดื่มกระดูก ½ ถ้วย ตั้งไฟกวนจนแป้งสุก ใส่เนื้อปลาช่อนลงยีกระจายเป็นน้ำเกรวี่

         3.ตักน้ำเกอรี่ราดบนมันฝรั่ง

 แหล่งพลังงาน

         มันฝรั่งเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับฟักทอง และข้าว ปริมาณมันฝรั่ง ½ ถ้วย ให้พลังงานเท่ากับข้าวสวย ½ ถ้วย ซึ่งคุณแม่อาจใช้มันเทศแทนมันฝรั่งก็ได้

         Tip : ควรแช่มันฝรั่งหรือมันเทศทั้งหัวเพื่อให้ดูดซับน้ำ เมื่อนำมาปรุงอาหารมันฝรั่งจะนิ่มสุกง่าย เป็นการเติมพลังจากแหล่งคาร์โบไฮเดรต ที่นอกเหนือจากข้าว เคล็ดลับการปรุงอาหาร ต้องเคี่ยวน้ำต้มกระดูกให้เข้มข้น ทำให้รสชาติอาหารหวานธรรมชาติจากน้ำต้มกระดูก


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://baby.kapook.com


เมนูเติมพลังของหนู (modernmom)
เรื่อง : มะขามเปียก/ ภาพ ภาพ : เอกรัตน์ ศรีพานิชย์


          เมื่อพูดถึงพลังงาน หลายคนก็จะนึกถึงแต่เมนูข้าว ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตแหล่งใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วยังมีเมนูอื่น ๆ ที่สามารถให้พลังงานแก่ลูกน้อยอีกมากมายที่เราสามารถเอาไว้ ไปสลับสับเปลี่ยนไม่ให้เขาเกิดอาการเบื่ออาหารได้ค่ะ



ซุปฟักทอง

6-8 Month

 เครื่องปรุง

          ฟักทอง 50 กรัม (ประมาณ ½ ถ้วย) 

          น้ำซุปไก่กรอง 1 ถ้วย 

          อกไก่สับ 1 ช้อนโต๊ะ 

          กล้วยน้ำว้าครูดไม่เอาไส้ 1 ช้อนโต๊ะ

 วิธีทำ

         1.ต้มฟักทองกับน้ำซุป พอฟักทองสุกนิ่ม ใส่อกไก่สับและกล้วยลงไป คนให้สุก

         2.เทส่วนผสมที่ต้มสุกใส่โถปั่นละเอียดจนเป็นซุป หากไม่มีโถปั่นให้ยีผ่านกระชอน

 แหล่งพลังงาน

         ฟักทองเป็นผักที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนกล้วยน้ำว้าเป็น ผลไม้ที่ให้น้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งให้พลังงานคาร์โบไฮเดรตได้ ฟักทอง ½ ถ้วย ให้พลังงานเท่ากับข้าวสวยสุก ½ ถ้วย คือ 80 แคลอรี ส่วนกล้วยน้ำว้า 1 ผล ให้พลังงาน 60 แคลอรี

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://baby.kapook.com


 

Most Reading