ads 728x90

เด็กชายกระปุกครีมกับศิลาอาถรรพ์

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ในวันลอยกระทงที่เปลี่ยนเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา ในห้องชั้นนอกสุดของบ้านที่ชื่อได้ว่า 4 ถนนประทับใจ จุดสูงสุดของท้องฟ้าเงียบสงบเหมือนว่าจะบอกถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้ มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า กระปุกครีม ที่ตื่นเต้นมากๆ เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่เขาจะไปรับการศึกษาที่โรงเรียนเวทมนตร์และวิเศษโฮกวอตส์ ความใคร่รู้สึกในใจของเด็กชายคนนี้ไม่เคยมาก่อนเลย เขารู้สึกตื่นเต้นและตื่นเต้นไม่ซ้ำกัน


เด็กชายกระปุกครีมเจอคุณย่านางเลี้ยงตัวเองคุณเม็ดดำ เธอแนะนำเขาไปที่สถานีรถไฟของโทมัส เขาเดินทางไปที่สถานีรถไฟและพบกับรถไฟที่มีชื่อ Hogwarts Express หนึ่งในรถไฟที่วิเศษที่สุดในโลก ที่จะพาเขาไปสู่โลกของเวทมนตร์


เด็กชายกระปุกครีมมีความสุขมากๆ เมื่อพบกับเพื่อนใหม่ที่โรงเรียน โดยเฉพาะเฟรด รอน และเฮอร์ไมอันนี่ ตลอดทางเขาพบกับปีศาจพายน้ำ ปีศาจน่ากลัวที่เป็นเหตุสำคัญของการเคลื่อนไหวในโลกของเวทมนตร์ และเริ่มต้นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นของเขาในโลกของเวทมนตร์ พวกเขาจะต้องใช้ความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตัวเองเพื่อเอาชนะปีศาจพายน้ำ และปกป้องศิลาอาถรรพ์จากการถูกใช้งานในทางที่ไม่เหมาะสม!




ในที่สุดหลังจากการเดินทางที่ยาวนานด้วยรถไฟเวทมนตร์ Hogwarts Express และการเดินทางที่อันตรายในป่าหลวงที่เขาต้องเผชิญหน้ากับปีศาจพายน้ำ ปีศาจที่กำลังมองหาศิลาอาถรรพ์ กระปุกครีมรู้ว่าเขาต้องทำตามหัวใจของเขาและต้องค้นหาศิลาอาถรรพ์ก่อนที่จะตกอยู่ในมือของปีศาจน่าสยดสยองนี้


เมื่อวันเรียนแรกของเขาเริ่มขึ้นที่โรงเรียน Hogwarts โดยเฉพาะในห้องเรียนเวทมนตร์กับครูชายเจมส์ซุส เด็กชายกระปุกครีมได้รู้จักกับชั้นเรียนและรับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกของเวทมนตร์ แต่เขายังคงรู้สึกอยากทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลาอาถรรพ์ ในขณะที่เขาสำรวจโรงเรียน เขาได้พบกับห้องหนึ่งที่ถูกปิดบังอย่างมิจฉาชีพ และเขามีความรู้สึกว่ามีสิ่งสำคัญอยู่ข้างใน


กระปุกครีมรู้ว่าเขาจะต้องค้นหาวิธีเข้าไปในห้องนั้น แต่ก่อนที่เขาจะได้มีโอกาสทำเช่นนั้น เขาต้องเผชิญหน้ากับความลับและอุปสรรคที่มาพร้อมกับการเปิดตัวเป็นนักเรียนใหม่ และการต่อสู้กับปีศาจพายน้ำที่กำลังมองหาศิลาอาถรรพ์ จะเป็นการผจญภัยที่ท้าทายอย่างมากสำหรับเด็กชายกระปุกครีมในเดือนที่กำลังจะมาถึง...

โครงการบ้านเดี่ยวปากช่อง ทำเลทอง

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2564

 



โครงการบ้านเดี่ยวปากช่อง เขาใหญ่

พบความเรียบหรู ง่าย บ้านเดียวปากช่อง แต่ลงตัวในทุกรายละเอียด ด้วยความฉลาดในการออกแบบพื้นที่ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ ด้วย Design Urbanist แบบใหม่ เชื่อมต่อทุกจังหวะของชีวิต พิเศษด้วย Master Bedroom ที่ถูกออกแบบมาในสไตส์ Luxury Penthouse ที่เชื่อมต่อทุก Function ทั้ง Walk-in Closet ห้องนอน และห้องน้ำ

คริสตัลกรีน เขาใหญ่ บ้านเดียวปากช่อง หมู่บ้านที่มีบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ เป็นบ้านแฝดสไตล์บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ตัวบ้านถูกออกแบบให้เป็นบ้านสมัยใหม่สไตล์โมเดิร์น เหมาะกับเป็นบ้านในฝันของคนรักธรรมชาติ ได้บรรยากาศเขาใหญ่สดชื่นใกล้เมืองปากช่อง บ้านสามารถรับแสงแดดพร้อมชมวิวบรรยากาศนอกบ้านได้อย่างเต็มอิ่ม มีระเบียงรอบบ้านชั้น 2 ให้บรรยากาศที่สวยงาม ร่มรื่น โดนใจกับธรรมชาติซึ่งเป็นบ้านในฝันของใครหลายๆคน

คริสตัลกรีน เขาใหญ่ บ้านเดียวปากช่อง  ทำเลติดถนนใหญ่บายพาส มิตรภาพ บรรยากาศธรรมชาติและวิวเขา
อิ่มเอมกับบรรยากาศ ลมหนาว , สายหมอกยามเช้า และพรรณไม้เขียวขจี รวมไปถึงพื้นที่กว้างขวางเชื่อมโยงความสะดวกสบายในการเดินทาง ด้วยบ้านดีไซน์ที่ทันสมัย ตอบรับความสุขของครอบครัวได้อย่างลงตัว คริสตัลกรีน เขาใหญ่ มอบความสุขจากการใช้ชีวิตจริง เพื่อให้คุณใช้ชีวิตกับสิ่งที่ดีๆ

สิ่งต้องรู้ก่อนขายเสื้อผ้าเด็ก

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

      ธุรกิจเสื้อผ้าทุกชนิด  หากคุณกำลังคิดที่จะขายเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็น ขายเสื้อผ้าเด็ก ขายเสื้อผ้าผู้ชาย
ผู้หญิง เด็กเล็ก เด็กโต จะขายปลีก หรือ ขายส่งเสื้อผ้าเด็ก ขายส่งเสื้อผ้าอะไรก็ตาม จำนำเข้าหรือส่งออก จะสต็อกสินค้า สั่งตัดตามจำนวน หรือ พรีออเดอร์ ก็ตาม  ( ตัวอย่างเยอะหน่อยอาจให้แรงบันดาลใจกับบางท่าน )

สิ่งแรกที่คุณนั้นจะมองข้ามไปเสียไม่ได้ก็คือ เรื่องของชนิดผ้า โดยประเภทของผ้านั้นแบ่งเป็น ดังนี้

การแบ่งประเภทตามกรรมวิธีผลิต คือ
              1. ผ้าทอ    กรรมวิธีการนำเส้นด้ายมาขัดกัน  มีเส้นใยด้ายดังนี้   เส้นด้ายยืน (warp yarn) กับ เส้นด้ายพุ่ง (weft yarn)
              2. ผ้าถัก    (Knitted fabric)การนำเส้นด้ายต่อกันเป็นห่วง  (interlock loops) มีเส้นใยด้ายดังนี้   คือ เส้นด้ายแนวตั้ง (Wales) และ เส้นด้ายแนวนอน (Course)


การแบ่งประเภทจากเส้นใยผ้า ดังต่อไปนี้

         1.  เส้นใยที่ทำจากธรรมชาติ100%  (Natural fiber) และแบ่งได้เป็นประเภทดังต่อไปนี้

        เส้นใยไหม (Silk)    ใยไหมมาจากโปรตีนของรังไหม  แล้วนำมาปั่นจนได้เป็นเส้นด้าย   นำมาทอ หรือถัก  ได้เป็นผืนผ้า คุณสมบัติของผ้าไหมนั้น  มีความนุ่มมือ  เงางามจับตา   ไม่ยับง่าย หรือไม่ยับเลย  คงสภาพของผ้าได้ดีทีเดียว   ดูดความชื้นได้ดีพอสมควร  และ สามารถปรับตัวได้ในอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง    ใส่สบายมาก   ฤดูหนาวก็ใส่แล้อบอุ่น สามารถติดไฟได้  เวลาไหม้ผ้าจะหด และไหม้เป็นขี้เถ้า  ต้องซักด้วยสบู่ที่มีฤทธิ์อ่อนเท่านั้น  เพราะผงซักฟอกที่มีกรดแรงจะทำลายเนื้อผ้า   ก่อนรีดต้องนำผ้าฝ้าย มารอง

          เส้นใยลินิน (Linen)    ผลิตจากเส้นใยของต้น flax แล้วนำมาปั่น จนได้เป็นเส้นด้าย   จากนั้นจึงมาทอ หรือ การถัก ได้เป็น ผืนผ้า ลินิน นั้นเส้นใยธรรมชาติที่มีความคงทน และความแข็งแรงที่สุด   โดยที่คุณสมบัติของผ้าลินิน  นั้นจะ ยับง่าย   ซักได้  สามารถ รีดได้ที่อุณหภูมิสูงลักษณะของจะมี ความมันเงาสวยงาม    ผิวเรียบแข็ง   และดูดซึมน้ำได้ติดไฟได้     เวลาไหม้จะเหมือนกระดาษ เวลาพับผ้าลินินต้องใช้การม้วนเท่านั้น เพราะถ้าพับเส้นด้ายอาจหัก เสียทรงได้

       เส้นใยฝ้าย (Cotton)   ได้มาจากการนำ เส้นใยของปุยฝ้ายนำมาปั่นจนเกิดเป็นเส้นด้าย  แล้วจึงนำมาทอ  หรือถัก ได้เป็นผืนผ้า คุณสมบัติของผ้าฝ้าย หรือ ผ้า Cotton นั้นจะ ยับง่าย รีดยาก  หด ย้วย  แต่บางเบาหากผลิตเป็นเครื่องนุ่งห่ม จะใส่สบาย   แต่ปัจจุบันมีกระบวนการในการผลิตเส้นด้ายที่มีประสิทธิภาพ   ทำให้คุณภาพของฝ้ายดีขึ้น จึงเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

     สามารถซักได้ด้วยเครื่อง หรือมือ   รีดได้ในอุณหภูมิที่สูงได้ ไม่ไหม้หรือเกิดอาการหดตัว   สามารถขึ้นราได้ง่าย เนื่องจากเป็นใยฝ้าย   ติดไฟได้ ไม่มียางเหนียว   เวลาไหม้ลักษณะจะเหมือนกระดาษไหม้ เป็นขี้เถ้า  

     เส้นใยขนสัตว์ (Wool) ผ้าขนสัตว์ คือการนำขนสัตว์นำมาปั่นจนเกิด เป็นเส้นด้าย แล้วจึงมาทอ หรือถักเป็นผืนผ้าขนสัตว์ที่นิยมมาใช้ทำเป็นผ้าที่สุด คือขนแกะ คุณสมบัติของขนสัตว์ ขนสัตว์นั้นดูดความร้อน และถ่ายเทความชื้นได้ดี เวลาสวมใส่จึงให้ความอบอุ่นได้ดี และไม่เหนอะหนะร่างกายเวลาสวมใส่ หดตัวมากเวลาเปียก จึงควรซักแห้งเท่านั้น หลังจากซักแห้งควรเก็บใส่ถุงพลาสติก เพื่อป้องกันมอด

        2. เส้นใยสังเคราะห์จากสารเคมี (Chemical Synthetic fiber)

         สแปนเด็กซ์ (Spandex) เป็นผ้าที่มีความยืดหยุ่นสูง เป็นผ้าเส้นใยสังเคาระห์นิยมนำมาผลิตเสื้อผ้าที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น ชุดชั้นใน มาทดแทนยางธรรมชาติที่อายุการใช้งานใช้ไม่ได้นานนัก

       ไนลอน (Nylon)  ได้มาจากกระบวนการรวมตัวของปิโตรเคมี   จำพวก  เบนซิน ฟีนอล ไฮโดรเจน แอมโมเนีย และมาผ่านกรรมวิธีทางเคมี  และผลิตเป็นเส้ยด้ายด้วยการถักหรือทอ คุณลักษณะของผ้าไนลอนนั้น    มีความทนทาน มาก  รูปร่างของผ้าทรงตัวไก้ดี  สามารถซักผงซักฟอกได้ ทนต่อเชื้อราและแมลง ทนต่อการขัดสี  แต่เวลาใส่ไม่ค่อยสบายตัวนัก มักผลิตขึ้นมาใช้เป็นเสื้อผ้าที่มีราคาไม่สูง

      โพลีเอสเตอร์ (Polyester ได้มาจากกระบวนการรวมตัว จำพวก ปิโตรเคมี  จำพวกเอทานอล    ผ่านกรรมวิธีทางเคมี  ได้เป็นเส้นด้าย  แล้วผ่านกระบวนการถักหรือทอ  แล้วได้เป็นผืนผ้า   เป็นเส้นใยที่ผลิตขขึ้นมาเพื่อให้มีคุณสมบัติคล้ายฝ้าย   ลักษณะ เป็นเส้นใยยาวนุ่ม เงามัน ดูดความชื้นได้น้อย   ผ้ามีความเบาบาง  ยับยาก จับจีบได้  แต่เมื่อใส่ไประยะนานผ้าจะเกิดขุยได้

     3. เส้นใยสังเคราะห์จากวัสดุธรรมชาติ (Natural Synthetic fiber)
      เรยอน (Rayon)    ได้มาจากการนำเปลือกไม้ในธรรมชาติ   ผ่านกรรมวิธี ทางเคมี  ได้เป็นเส้นด้าย  และผ่านกรรมวิธี ด้วยการถักหรือการทอ ผลิตขึ้นมาเพื่อให้มีคุณสมบัติเหมือนกับฝ้าย   คุณสมบัติ มีความนุ่ม มันเงา สามารถระบายความร้อน และดูดความชื้นได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเป็นผ้าที่ดีกว่าฝ้ายได้ ราคาค่อนข้างถูกนิยมนำมาทดแทนผ้าฝ้าย

คาร์ซีท ป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์ได้อย่างไร และจะป้องกันได้อย่างไร

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อุบัติเหตุเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 ของคนไทยรองจากโรคมะเร็ง คนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุปีละประมาณ 4 หมื่นคน แต่สำหรับในเด็ก อุบัติเหตุเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 จากข้อมูลของ “คณะกรรมการป้องกันอุบัติเหตุแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2542 มีเด็กไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 3,000-4,000 คน โดยสาเหตุอันดับ 1 มาจากการจมน้ำปีละประมาณ 1,400 คน และอันดับ 2 คืออุบัติเหตุจราจร ปีละ 900-1,200 คน โดยอุบัติเหตุจราจร หรือจากยานยนต์เกิดในเด็กและเยาวชนถึงร้อยละ 25-30 และตัวเลขการเสียชีวิตดังกล่าว ยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปี เนื่องจากความเจริญและการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้การใช้ยวดยานพาหนะในการเดินทางมีมากขึ้น

การบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ สามารถลดลง และป้องกันได้ด้วยการสวมหมวกกันน็อก หรือหมวกนิรภัย ขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ และการคาดเข็มขัดนิรภัย ขณะโดยสารในรถยนต์

การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์เกิดได้อย่างไร และจะป้องกันได้อย่างไร
ขณะที่เกิดการชนกันของยานพาหนะกับยานพาหนะอื่น หรือต้นไม้ หรือเสาไฟฟ้าข้างทาง รถยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็ว เมื่อมีการชนเกิดขึ้น ความเร็วจะลดลงทันทีทันใด แต่ผู้โดยสารที่อยู่ในรถนั้น ยังคงมีความเร็วเท่าเดิม จึงเกิดการกระแทกกับตัวรถ กระจก หรือกระเด็นออกมา แล้วทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตได้
นั่นคือเหตุผลที่เราต้องคาด เข็มขัดนิรภัย (seatbelt) เพราะเข็มขัดนิรภัย จะทำหน้าที่ยึดตัวผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารให้ติดกับที่นั่ง ทำให้ส่วนของร่างกายไม่ไปกระแทกกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งสามารถลดการบาดเจ็บที่รุนแรง และเสียชีวิตได้อย่างน้อยร้อยละ 50 รวมทั้งการมีถุงลมนิรภัย (air bag) ก็ช่วยเสริมความปลอดภัยได้มากขึ้นอีก แต่เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์ออกแบบมาพอดีกับผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็ก  เพราะเข็มขัดนิรภัยจะต้องพาดจากไหล่ ผ่านทรวงอก มาที่บริเวณกระดูกเชิงกรานของผู้ใหญ่ สำหรับเด็กซึ่งมีขนาดร่างกายที่เล็กกว่า เข็มขัดนิรภัยจึงไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่สามารถยึดเด็กไว้กับที่นั่งได้  นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กต้องเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมากในขณะที่โดยสารในรถยนต์ การป้องกันการบาดเจ็บจากการโดยสารในรถยนต์ของเด็ก จึงต้องใช้อุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ นั่นคือ คาร์ซีท ที่นั่งสำหรับเด็ก หรือที่เรียกกันว่า คาร์ซีท ( child car seat ) ซึ่งมาพร้อมกับระบบเข็มขัดที่ยึดติดกับที่นั่ง อันเป็นนวัตกรรมที่สามารถลดอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตในเด็กได้อย่างน้อยร้อยละ 50-70 เลยทีเดียว ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย เยอรมัน และประเทศในยุโรปอื่น ๆ จึงได้มีคำแนะนำการใช้ และมีกฎหมายบังคับให้ใช้ car seat สำหรับเด็กมานานนับสิบปีแล้ว
อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่มีกฎหมายในเรื่องนี้ เพราะอยู่ระหว่างการพัฒนาขึ้น แต่แพทย์ผู้ดูแลเรื่องอุบัติเหตุในเด็ก ก็ยังแนะนำให้ใช้ พ่อแม่ และผู้ปกครอง จึงไม่ควรมองข้ามความสำคัญในเรื่องนี้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีกฎหมายออกมาก่อน
คำแนะนำในการเลือกที่นั่งสำหรับเด็กในรถยนต์
สำหรับคำแนะนำในการเลือกลักษณะของ car seat ที่เหมาะสมมีดังนี้
1. คาร์ซีท สำหรับเด็กแรกเกิด ถึงอายุ 6-9 เดือน หรือ น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม : ใช้ที่นั่งสำหรับทารก แบบ lay-flat travel infant seat

2. คาร์ซีท สำหรับเด็กแรกเกิด ถึงอายุ 12-15 เดือน หรือน้ำหนักไม่เกิน 13 กิโลกรัม : อาจใช้ที่นั่งสำหรับทารกที่ใช้สำหรับเด็กเล็กได้ด้วย แต่ต้องติดตั้งบนเบาะหลังและหันไปด้านหลัง แบบ rearward-facing baby seat

3. คาร์ซีท สำหรับเด็กอายุ 9 เดือน ถึง 4 ปี หรือน้ำหนักระหว่าง 9-18 กิโลกรัม : ใช้ที่นั่งสำหรับเด็กเล็กแบบ forward-facing child seat ได้

4. คาร์ซีท สำหรับเด็กอายุ 4-6 ปี หรือน้ำหนักระหว่าง 15-25 กิโลกรัม : ใช้แบบ booster seat

5. คาร์ซีท สำหรับเด็กอายุ 6-12 ปี หรือน้ำหนักระหว่าง 22-36 กิโลกรัม : ใช้แบบ booster cushion

นอกจากการเลือกแบบที่เหมาะสมแล้ว การติดตั้งก็ต้องเหมาะสมด้วย โดยต้องติดตั้งที่เบาะหลังเท่านั้น ไม่ใช่เบาะนั่งด้านหน้าข้างคนขับ เพื่อป้องกันอันตรายจากถุงลมนิรภัย
สุดท้ายนี้ ขอให้พ่อ แม่ และผู้ปกครองได้คำนึงอยู่เสมอว่า การเดินทางโดยรถยนต์ของเด็กที่ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมนั้น ไม่ปลอดภัยสำหรับบุตรหลานของท่าน และเมื่อเกิดอุบัติเหตุ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะการเดินทางโดยให้เด็กนั่งตักผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่อุ้มเด็กไว้ ที่เราปฏิบัติกันทั่วไปในประเทศไทยนั้น มีอันตรายมาก หากเกิดอุบัติเหตุ ตัวเด็กจะถูกกระแทกทั้งจากของแข็งหรือตัวรถที่อยู่ข้างหน้า และตัวคนที่อุ้มเด็กนั้นเอง ทางเดียวที่จะช่วยเด็กให้มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นได้คือ การใช้ คาร์ซีท child car seat หรือ ที่นั่งสำหรับเด็ก ที่เหมาะสมเท่านั้น


britaxthailand.com

ทำไมมาอุ้มครรภ์ในไทยถึงเป็นสิ่งที่ดี

ไทยแลนด์เซอโรเกซีย์รู้ดีว่าเมื่อพูดถึงประเทศไทย เรามักนึกถึงทะเลที่งดงาม ดินแดนของศาสนาพุทธ วัดวาอาราม อาหารที่รสชาติร้อนแรง แต่อย่างไรก็ดีที่ประเทศไทยก็ยังเป็นที่ที่งดงาม อีกทั้งที่นี่ยังมีสถานพยาบาลที่ทำกิฟท์ได้ดีเยี่ยมระดับโลก ซึ่งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยเป็นที่นิยมอย่างมาก ซึ่งในปี 2011 มีผู้เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากถึง 1.6 ล้านคน ซึ่งถึงว่ามากที่สุดในโลกเลยทีเดียว
ซึ่งปัจจุบันมีเพียงสองประเทศในทวีปเอเชียที่ให้บริการนี้ นั่นคือประเทศไทยและประเทศอินเดีย ซึ่งทั้งสองประเทศช่วยให้คุณประหยัดมากกว่าร้อยละ 60 แต่มีหลายปัจจัยที่คุณควรเลือกประเทศไทย หลายคู่รักผิดหวังจากที่อื่นก่อนจะมาที่ประเทศไทย เราให้บริการอุ้มครรภ์แทนด้วยจริยธรรมและดูแลหญิงที่อุ้มครรภ์แทนอย่างดี อนุญาตให้พวกเธอได้อยู่กับครอบครัวในช่วงอุ้มท้อง เพราะเราเชื่อว่าการดูแลที่ดีจากครอบครัวคือพื้นฐานที่สำคัญต่อสภาพร่างกายและสภาวะจิตใจ ซึ่งเราได้จัดเตรียมพนักงานคอยอำนวยความสะดวกในการพาหญิงอุ้มครรภ์แทนเดินทางไปกลับระหว่างที่พักและสถานพยาบาลเพื่อลดความตึงเครียดของผู้ตั้งครรภ์
และที่นี่คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับความบ้นเทิงมากมาย คุณสามารถมีความสุขกับหาดทรายทะเลที่สวยงาม พักผ่อนให้สบายระหว่างที่ลูกของคุณกำลังจะคลอดในดินแดนที่งดงามแห่งนี้ ซึ่งยังมีอีกหลายปัจจัยที่คุณควรเลือกประเทศไทย
จริยธรรม
ที่ประเทศไทยสถานพยาบาลจะมีคณะกรรมการคอยตรวจสอบด้านจริยธรรม ซึ่งจะทำให้คุณมั่นใจว่าภายใต้การบริการที่ดีเยี่ยม เราไม่มีการก้าวล่วงคำว่าจริยธรรมต่อผู้บริจาครังไข่และหญิงที่อาสามาอุ้มครรภ์ เฉพาะผู้ที่ไม่สามารถมีบุตรด้วยตนเองเท่านั้นจะได้รับการพิจารณา คณะกรรมการด้านจริยธรรมจะคอยตรวจสอบสวัสดิภาพด้านการแพทย์ รวมไปถึงดูแลด้านการเงิน
โครงสร้างที่ดี
ประเทศไทยมีโครงสร้างการพัฒนาที่ดีที่สุดในเอเชีย การเดินทางในกรุงเทพฯไม่ใช่เรื่องยาก แท็กซี่มีให้บริการในสภาพใหม่และปรับอากาศ แถมรถแท็กซี่ยังมีสีสันสดใส ผู้ขับสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษแบบง่ายๆได้ รถไฟฟ้าก็ช่วยให้การเดินทางง่ายมากขึ้น รถไฟฟ้านี่เองได้เชื่อมโยงจุดท่องเที่ยวที่สำคัญๆของกรุงเทพฯเข้าไว้ด้วยกัน ไม่แพงและยังมีป้ายภาษาอังกฤษอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง ทางด่วนก็กว้าง 4 เลนส์และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีรถไฟใต้ดินอีกด้วย
แพทย์ผู้ชำนาญ
แพทย์ของประเทศไทยที่ไทยแลนด์เซอโรเกซีย์ร่วมงานด้วย มีความชำนาญอย่างมาก ส่วนมากได้รับการศึกษามาจาก สหรัฐฯ อังกฤษ หรือ ออสเตรเรีย หลังจากศึกษาจบ ส่วนใหญ่มีการฝึกงานและเรียนรู้แบบแพทย์ฝั่งตะวันตก ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่ของไทยได้รับการฝึกฝนจนชำนาญเฉพาะทางด้านการทำกิฟท์ ซึ่งมีเป็นจำนวนมากที่มีชื่อเสียงระดับโลก
สถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองจาก JCI
สถานพยาบาลในไทยจำนวนมากต่างยกระดับเพื่อให้ได้มาตรฐานระดับนานาชาติ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรอง JCI ทั้งสิ้น 15 แห่ง JCI ย่อมาจาก Joint Commission International ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
คนไทยและวัฒนธรรมไทย
คนไทยมีความอบอุ่น เป็นกันเอง และถือว่าเป็นคนที่น่ารักทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่าเป็น แลนด์ออฟสไมล์ ด้วยความเป็นมิตรต่อผู้คนนานาชาตินี่เอง อาณาจักรไทยตั้งแต่อดีตมา และนับเป็นประเทศเดียวในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยตกเป็นมืองขึ้นของชาติใด ถ้าจะพูดถึงวัฒนธรรม ร้อยละ 95 จะเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ เพียงขับรถรอบเมืองเพียงไม่กี่นาที คุณจะได้เห็นวัดวาอารามที่งดงาม รวมถึงความรักของประชาชนที่มีต่อพระมหากษัตริย์และพระราชินีของพวกเค้า และนี่เองที่ทำให้ประเทศไทยแตกต่างและไม่มีที่ใดในโลกที่เทียบได้ ซึ่งประเทศไทยมีจำนวนของนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นทุกๆปี เมื่อคุณมาสัมผัสประเทศไทย คุณจะทราบดีว่าครั้งเดียวไม่เพียงพอ คุณจะอยากกลับมาเยือนอีกอย่างแน่นอน
คุณภาพในราคาย่อมเยา
เมื่อคุณเลือกเรา ไทยแลนด์เซอโรเกซีย์ คุณสามารถประหยัดได้มากถึงร้อยละ 50-60 ทีเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับการให้หญิงอื่นอุ้มครรภ์แทนที่ประเทศสหรัฐฯ แต่ราคาไม่ใช่ทั้งหมด คุณภาพที่ยอดเยี่ยมซึ่งเรียกว่าทิ้งห่างจากบริการจากประเทศอินเดียอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ความเอาใจใส่ในการดูแลผู้เข้ารับบริการมีความอ่อนโยนราวกับว่าคุณเข้าไปในสปามากกว่าในโรงพยาบาล เราขอให้คุณสบายใจได้เมื่อเลือกที่จะเลือกใช้บริการที่ประเทศไทย
เมื่อฟังประโยชน์ทั้งหมดนี้แล้ว ทำไมหล่ะที่จะไม่เลือกมาใช้บริการอุ้มบุญที่ประเทศไทย?

thai.thailand-surrogacy.com


หยุดกังวลใจเรื่องแผลผ่าคลอด

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557

ที่มา mothersdigest.in.th





เพราะคุณแม่หลังผ่าตัดคลอดลูกน้อยส่วนใหญ่มักมี ปัญหาและข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลแผลผ่าตัดคลอด มาถามคุณหมอ เช่น ความกังวลใจเรื่องแผลติดเชื้อ การดูแลไม่ให้แผลถูกน้ำเจ็บปวดแผลเมื่อเคลื่อนไหว ตลอดจนไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็นที่ไม่น่าดู วันนี้เราจึงเชิญสูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาตอบคำถามให้ค่ะ





Q : การดูแลแผลผ่าตัดคลอดที่ถูกต้อง ควรทำอย่างไร ?



A : คุณแม่ที่มีแผลผ่าคลอดจำเป็นจะต้องรอให้แผลแห้งและติดสนิท ประมาณ 5-7 วัน คุณแม่จึงไม่สามารถอาบน้ำได้ รวมทั้งอาจต้องมีการเช็ดล้างแผล เปลี่ยนพลาสเตอร์หรือผ้าปิดแผลบ่อยๆ ส่วนแผลผ่าตัดที่ใช้กาวปิดแผล ซึ่งเริ่มใช้กันในปัจจุบันนั้น คุณแม่จะสามารถอาบน้ำได้ทันทีหลังปิดแผล และไม่ต้องล้างแผล โดยเมื่อผิวหนังชั้นนอกมีการผลัดผิว กาวปิดแผล และผิวหนังกำพร้า ชั้นนอกก็จะเกิดการหลุดลอกเองภายหลัง วันที่ 14 ซึ่งเป็นช่วงที่แผลจะติดสนิทกันดีแล้ว นอกจากนี้ คุณแม่ไม่ควรยกของหัก ไม่ยืดเหยียดแผลมาก จนทำให้แผลถูกรั้งตึงเกินไป ซึ่ง รพ. ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีทางเลือกในการดูแลแผลมาแนะนำให้แก่คุณแม่มากขึ้น





Q : ปัจจัยที่มีผลทำให้แผลผ่าตัดคลอดสวย ?



A : แผลผ่าตัดคลอดจะสวยหรือไม่เป็นแผลเป็น เกิดได้จากปัจจับหลายอย่าง เช่น ตำแหน่งของแผล ผ่าตัดคลอด การเย็บแผลของคุณหมอ ลักษณะผิวหนัง และวัสดุปิดแผล หรือประเภทของไหมที่ใช้ในการเย็บแผล ส่วนการใช้กาวปิดแผล จะช่วยยึดขอบแผลเข้าหากันได้ดี และลดแรงตึงเวลาเคลื่อนไหว มีส่วนช่วยให้เกิดผลแผลเป็นได้น้อยลง





Q : สาเหตุของการที่แผลติดเชื้อ และอาการคันเป็นผื่นแดงรอบแผลผ่าคลอด ?



A : แผลผ่าตัดคลอดที่ติดเชื้อ มักเกิดจากการดูแลแผลที่ไม่ถูกต้อง เช่น แผลถูกน้ำ แผลเกิดความ หรือมีเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล คุณแม่จึงควร เปลี่ยนพลาสเตอร์ หรือผ้าปิดแผล เมื่อสกปรกหรือเริ่มมีการหลุดลอกในส่วนของอาการคัน หรือเป็นผื่นแดงรอบแผล ส่วนใหญ่มักเกิดจากการแพ้ พลาสเตอร์ จนทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง


คลอดธรรมชาติเจ็บน้อยกว่าคลอดแบบผ่าตัด

ที่มา mothersdigest.in.th

“คลอดธรรมชาติ” เจ็บน้อยกว่าคลอดแบบผ่าตัดจริงหรือ?





เชื่อว่าคุณแม่ทุกคน พอใกล้ถึงวันใกล้คลอดทีไรเป็นต้องกังวลนั่นกังวลนี่กันทั้งนั้น โดยเฉพาะการคลอดธรรมชาติ  มักมีคนพูดให้ได้ยินแตกต่างกันเสมอว่า คลอดธรรมชาติไม่เจ็บ กับคลอดธรรมชาติเจ็บ ทำให้เกิดความสงสัย และส่งผลให้คุณแม่ที่ใกล้คลอดเริ่มกังวลกันแทบทั้งนั้น





การคลอดธรรมชาติ ที่ผ่านช่องคลอด



นี่เป็นการคลอดที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ และทารกต้องอยู่ในท่าเอาศีรษะลงเข้าสู่เชิงกราน  โดยการคลอดแบบธรรมชาตินี้ จะส่งผลดีกับคุณแม่และทารกมากกว่าการผ่าตัดคลอด และแน่นอนว่าขณะที่กำลังรอคลอด คุณแม่ทุกคนคงจะมีความรู้สึกกังวลและกลัวการเจ็บครรภ์เป็นที่สุด ซึ่งทางการแพทย์อาจจะมีวิธีบรรเทาความเจ็บปวดด้วยการใช้ยาแก้ปวด และอีกวิธีก็คือการบล็อกหลัง ซึ่งการบล็อกหลังต้องดูความเหมาะสมและความสมัครใจของคุณแม่เป็นรายๆ ไป และจะมีการปรับระดับยาที่จะลดความเจ็บปวดให้เหมาะสมกับคุณแม่ จนกระทั่งปากมดลูกเปิดหมอ 10 เซนติเมตร คุณแม่ก็ยังสามารถมีแรงเบ่งคลอดบุตรได้ ถ้าเป็นการคลอดครั้งแรก แล้วทารกมีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ แต่คุณแม่ค่อนข้างมีรูปร่างที่ตัวเล็ก ก็อาจทำให้คุรแม่เจ็บครรภ์คลอดที่ค่อนข้างมาก อีกทั้งการที่ไม่ตัดแผลฝีเย็บเพื่อขยายช่องทางคลอด ก็อาจจะทำให้เกิดแผลฉีกขาด และเป็นอันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียงได้เช่นกัน





การคลอดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมน 3 ชนิด ซึ่งจะหลั่งมาจากต่อมใต้สมอง ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนแห่งความรัก ที่จะช่วยสร้างความอบอุ่น ความรัก ความผูกพัน ระหว่างแม่กับลูก ฮอร์โมนที่ช่วยให้กล้ามเนื้อเต้านมบีบตัวเพื่อหลั่งน้ำนม และฮอร์โมนที่ทำให้มีความสุข ซึ่งจะหลั่งขณะปวดคลอด และด้วยสัญชาตญาณของทารก เขาสามารถรับรู้ถึงสายสัมพันธ์แม่ ลูก ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับอาการเจ็บเบ่งของแม่ ความรู้สึกรี้คุณแม่อาจหยั่งรู้ไม่ถึง แต่ลูกของคุณแม่รับรู้ได้ตามเส้นทางที่ธรรมชาติได้กำหนดไว้





เจ็บจริง หรือเจ็บหลอก



• การเจ็บครรภ์ในคุณแม่ใกล้คลอดนั้น จะมีอาการปวดร่วมกันพร้อมกับมีการหดรัดตัวของมดลูก ที่เป็นการปวดเหมือนกับการปวดประจำเดือน แต่การปวดท้องคลอดจะเป็นการเจ็บปวดที่บริเวณมดลูกทั้งหมด ความปวดจะมีระดับความรุนแรง(severity) ที่เพิ่มขึ้นๆ และช่วงเวลาของการปวดแต่ละครั้ง(Interval) จะสั้นลงๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ็บทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ก็เปลี่ยนเป็นเจ็บทุกๆ 30 นาที





• ความเจ็บปวดจากการที่มดลูกหดรัดตัว จะมีระยะเวลาในการปวดแต่ละครั้งที่นานขึ้นเรื่อยๆ จาก 10 วินาที เป็น 20 วินาที เป็น 40 วินาที และเมื่อคุณแม่เจ็บครรภ์คลอดจริงขึ้นมา การคลอดก็จะดำเนินต่อไปจนกระทั่งทารกคลอดเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อทารกได้คลอดออกมา และส่งเสียงร้องขึ้นนั่นเอง





• อาการเจ็บปวดครรภ์ไม่สม่ำเสมอ เจ็บที่มีการทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งมดลูกมีการหดรัดตัวเบาๆ ไม่รุนแรง จนกระทั่งการเจ็บปวดหยุดลง อาการนี้มักเรียกกันว่าการเจ็บครรภ์หลอก (False Labor)





Steps การเจ็บครรภ์คลอดในแบบวิถีธรรมชาติ



ระยะที่ 1 ของการคลอด First Stage of Labor  เป็นการเริ่มเจ็บครรภ์จริงจนถึงปากมดลูกเปิดหมด โดยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ระยะ



• Early Labor เริ่มตั้งแต่ปากมดลูกยังปิดอยู่ จนกระทั่งปากมดลูกเปิดได้ 4 เซนติเมตร ก็จะมีการหดรัดตัวของมดลูก ทุกๆ 5-30 นาที เป็นระยะเวลาประมาณ 15-40 วินาที คุณแม่ที่เจ็บคลอดจะมีอาการปวดแบบปวดตะคริว มีอาการปวดหลังร่วมด้วย





• Accelerated Labor มีการหดรัดตัวของมดลูกทุกๆ 2-3 นาที เป็นระยะเวลาประมาณ 45-60 วินาที โดยการหดรัดตัวจะแรงขึ้นในระยะนี้ สารเอนเดอร์ฟินจะเริ่มหลั่งออกมาเพื่อช่วยให้ผู้คลอดสามารถดำเนินการคลอดต่อไปได้ พฤติกรรมของผู้คลอดจะเริ่มเปลี่ยนไปโดยจะเงียบลง ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะนั่งหรือนอนอยู่กับที่ หลับตาลง อาการแสดงเหล่านี้ได้บอกว่าระดับสารเอนดอร์ฟินในร่างกายของคุณแม่นั้นมีเพียงพอสำหรับความต้องการ และการคลอดก็จะดำเนินต่อไปได้อย่างปกติ





• Transition ในระยะนี้จะมีการหดรัดตัวของมดลูกทุกๆ 1-3 นาที เป็นระยะเวลา 45-90 วินาที โดยจะหดรัดรุนแรงที่สุด และจะทำให้คุณแม่เจ็บปวดมาก ร่วมทั้งร่างกายจะมีการสร้างสารเอนเดอร์ฟินจะสูงที่สุดด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้สามารถทนต่อความเจ็บปวดและทำให้ผู้คลอดมุ่งสนใจแต่ภายในตัวของผู้คลอด(Focus Inwardly) คุณแม่จะมีปฏิกิริยาในการหายใจที่ถี่และเร็วขึ้นจากการปวด ในคุณแม่บางรายอาจร้องครวญครางออกมาได้ หรือร้องขอยาแก้ปวด หรือขอให้ผ่าตัด ซึ่งหากผู้ดูแลรู้หลักการดังกล่าวแล้วก็จะช่วยประคับประคองให้การคลอดดำเนินไปสู่ระยะที่ 2 ของการคลอดโดยปราศจากการแทรกแซงที่ไม่จำเป็น เนื่องจากอาการทั้งหมดนี้เป็นผลของสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งช่วยให้คุณแม่สามารถลืมอาการเจ็บปวดหลังคลอดแล้ว และยังช่วยเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก(Bonding) หลังคลอด ในระยะนี้มดลูกกำลังเปลี่ยนสถานะของการกระทำจากการขยายปากมดลูก เป็นการผลักดันทารกผ่านช่องทางคลอด ซึ่งสามารถจะทราบได้โดยผู้คลอดเริ่มมีความต้องการอยากที่จะเบ่ง





ระยะที่ 2 ของการคลอด Second Stage of Labor



• โดยทั่วไปหลังจากสิ้นสุดระยะที่ 1 ของการคลอดจนถึงความรู้สึกอยากเบ่งคลอดอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก มีระยะเวลาประมาณ 10-30 นาที ซึ่งเป็นระยะพักหลังจากที่ได้ผ่านการเจ็บครรภ์คลอดในระยะที่ 1 หลังจากนั้นจึงมีความรู้สึกอยากเบ่ง ดังนั้นจึงไม่ควรให้ผู้คลอดเบ่งในระยะที่อยู่ในระยะพักดังกล่าว มดลูกในระยะนี้มรการหดรัดตัวทุก 3-5 นาที เป็นระยะเวลาประมาณ 45-70 วินาที ระยะที่ 2 ของการคลอดจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อทารกคลอดออกมาแล้วส่งเสียงร้องแรกนั่นเอง





ฝึกการหายใจเพื่อการคลอด



การหายใจขณะที่กำลังจะคลอดก็มีส่วนทำให้การคลอดผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเช่นกัน ดังนั้นการหายใจหรือการกำหนดลมหายใจเข้าออก จึงมีหลักในการให้คุณแม่ที่ใกล้คลอดได้ไปลองฝึกปฏิบัติกันดูคะ ซึ่งการหายใจจะมีอยู่ 3 ระดับ ดังนี้





• การหายใจ แบบล้างปอด



คือการสูดหายใจเข้าลึกๆ โดยใช้มือข้างหนึ่งวางไว้ที่ท้อง ถ้าหายใจถูกต้อง ท้องจะต้องป่อง จากนั้นก็ให้ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ





• การหายใจ ระดับอก



คือการสูดหายใจ ถึงแค่ระดับอก โดยใช้มืออข้างหนึ่งวางไว้ที่อก ถ้าหายใจถูกต้อง อกจะต้องพองขึ้น จากนั้นก็ให้ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ





• การหายใจ ระดับคอ



คือการสูดหายใจตื้นๆ เร็วๆ โดยหายใจ ถึงแค่ระดับคอ แล้วหายใจออกทางปากถี่ๆ ซึ่งการหายใจแต่ละระดับจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายลง และบรรเทาความเจ็บปวดในระยะต่างๆ ของการคลอดได้





วิธีปฏิบัติขณะคลอด



เมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัว ซึ่งจะมีอาการปวดท้อง ให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง จากนั้นให้หายใจระดับอก นับ 1 2 3 แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปาก นับ 1 2 3 ทำเช่นนี้ 6-9 ครั้งต่อนาที เมื่อมดลูกคลายตัวเต็มที่ ให้หายใจล้างปอดอีก 1 ครั้ง สำหรับการหายใจแบตื่นๆ ถี่ๆ จะใช้ในช่วงที่อยากเบ่ง แต่ปากมดลูกยังไม่เปิดเต็มที่ คุณพยาบาลแนะนำว่า อย่าเพิ่งเบ่ง(เพราะเบ่งยังไง ลูกก็ยังไม่คลอด ควรที่จะเก็บแรงไว้ก่อน) แต่ให้ผ่อนคลายด้วยการหายใจ ตื้นๆ ถี่ๆ โดยหายใจเข้านับ 1 หายใจออกทางปากนับ 2 ทำไปเรื่อยๆ  จนกว่าจะถึงการเบ่งคลอดขั้นสุดท้าย


 

Most Reading